18 กันยายน 2551

การปลูกมะปราง



ลักษณะทางพฤกษศาตร์
มะปรางเป็นไม้ผลเมืองร้อน ไม้ยืนต้นที่มีผู้รู้จักแพร่หลาย มีผลคล้ายฟองไข่นกพิราบ เมื่อดิบมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่มีสีเหลือง มีทั้งรสเปรี้ยว รสหวาน และรสเปรี้ยวอมหวาน (ขุนเกษตร สันทัด) ผลแก่ช่วงมีนาคม-เมษายน


ส่วนต่าง ๆ ของมะปรางมีลักษณะดังนี้
ลำต้น มะปรางเป็นไม้ผลที่มีทรงต้นค่อนข้างแหลม มีกิ่งก้านสาขาค่อนข้างทึบต้นโตมีขนาดสูง 15-30 เซนติเมตร มีรากแก้วแข็งแรง
ใบ มะปรางเป็นไม้ผลที่มีใบมาก ใบเรียว ขนาดใบโดยเฉลี่ยกว้าง 3.5 เซนติเมตร ยาว 14 เซนติเมตร ปีหนึ่งมะปรางจะแตกใบอ่อน 1-3 ครั้ง
ดอก มะปรางจะมีดอกเป็นช่อ เกิดบริเวณปลายกิ่งแขนง ช่อดอกยาว 8-15 เซนติเมตร เป็นดอกสมบูรณ์เพศ (เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน) ดอกบานจะมีสีเหลือง ในไทยออกดอกช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม
ผล มีลักษณะทรงกลมรูปไข่และกลม ปลายเรียวแหลม มะปรางช่อหนึ่งมีผล 1-15 ผล ผลดิบมีสีเขียวอ่อน-เขียวเข้มตามอายุของผล ผลสุกมีสีเหลืองหรือเหลืองอมส้ม เปลือกผลนิ่ม เนื้อสีเหลืองแดงส้มออกแดงแล้วแต่ชนิดพันธุ์ รสชาติหวาน-อมหวานอมเปรี้ยว หรือเปรี้ยว-เปรี้ยวจัด
เมล็ด มะปรางผลหนึ่งจะมี 1 เมล็ด ส่วนผิวของกะลาเมล็ดมีลักษณะเป็นเส้นใย เนื้อของเมล็ดทั้งสีขาวและสีชมพูอมม่วง รสขมฝาดและขม ลักษณะเมล็ดคล้ายเมล็ดมะม่วง หนึ่งเมล็ดเพาะกล้าได้ 1ต้น (นรินทร์,2537 ; สรัสวดี และปฐพีชล,2531)

11 กันยายน 2551

อะโวคาโด




หมวด: ความงาม, ไอเดีย
ประโยชน์ของอะโวคาโด้ ก็คือถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย เพราะวิตามินบีในอะโวคาโด จะทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการปกป้องผิวหน้าจากมลพิษได้ด้วยถ้าอยากเห็นผลเร็วๆถ้าการกินนี่อาจจะคิดว่ามันมีผลช้านะ ก็พอกหน้าเอาก็ได้วิธีการก็คือ

1.บดอะโวคาโด้ให้ละเอียด

2.นำไปแช่ตู้เย็นไว้สักพัก

3.นำมาพอกหน้า ทิ้งไว้จนแห้ง

4.ล้างออกให้สะอาดมีผัก ผลไม้ชนิดอื่นอีก ถ้าอยากรู้ก็ ลองไปทำดูนะคะ อยากลองเหมือนกัน คงต้องไปหาซื้อมาลองก่อน แต่ชอบกินมากกว่าไม่ชอบพอกหน้า หั่นเป็นชิ้นๆคลุกน้ำตาลนิดเกลือหน่อย พูดแล้วอยากกิน พรุ่งนี้ต้องไปหาซื้อมากินซะละ :)

น้ำมันมะกอก-อะโวคาโด สูตรผมตรงสวย-มีน้ำหนัก

สำหรับผู้หญิงแล้ว การดูแลตัวเองให้สวยสมบูรณ์แบบอยู่เสมอนั้น เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เส้นผม” ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นจุดที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เพราะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดูดี อย่างไรก็ตาม ด้วยความทีในปัจจุบันนี้มลภาวะ แสงแดด การทำสีผมหรือความร้อนจากเครื่องเป่าผม ได้เป็นตัวการที่ทำให้ผมขาดความชุ่มชื้น หยิก แห้งฟู ไร้น้ำหนัก สร้างความกลุ้มอกกลุ้มใจให้กับสาวๆ อยู่ไม่น้อยแต่...การแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งสูตรที่ผู้เชี่ยวชาญด้านเส้นผมให้คำแนะนำก็คือ การใช้แชมพูหรือครีมนวดที่มีส่วนประกอบของ “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์” และ “อะโวคาโด” อย่างไรก็ตาม การใช้น้ำมันมะกอกนั้น ถ้าจะให้มีประสิทธิภาพในการดูแลบำรุงเส้นผมหรือหนังศีรษะได้ดีที่สุดก็ต้องเป็น “น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์” ซึ่งสกัดมาจากผลของมะกอกโดยไม่มีการเจือจาง ไม่ผ่านกระบวนการเคมีและความร้อน น้ำมันที่ได้จึงมีคุณภาพสูงสุด มีสี กลิ่นและรสชาติเข้มข้น ทั้งยังมีวิตามินตามธรรมชาติอยู่มาก ในน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์นั้น อุดมไปด้วยวิตามินอี วิตามินบี โปรตีนและสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุงเส้นผมให้นุ่มลื่น เรียงตัวสลวย เป็นเงางามและยังช่วยป้องกันการทำลายเส้นผมจากแสงแดดอีกด้วยส่วน ”อะโวคาโด” นั้นถือได้ว่าเป็นสารบำรุงเส้นผมจากธรรมชาติชั้นยอด เพราะอุดมไปด้วยสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน กรดอะมิโน โพแทสเซียม โฟเลท ไฟเบอร์ เลซิติน วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 วิตามินซีและวิตามินอี ซึ่งน้ำมันและสารบำรุงต่างๆ เหล่านี้จะช่วยปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มลื่นขึ้น มีสุขภาพดีและมีชีวิตชีวาน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และอะโวคาโด จึงเปรียบเสมือนของขวัญพิเศษสำหรับคนที่มีปัญหาผมเสีย หยิกแห้งฟูขาดน้ำหนัก ดังนั้น สาวคนไทยที่กำลังอมทุกข์อยู่กับปัญหานี้ คงต้องหันไปหาแชมพูและครีมนวดที่มีส่วนผสมของน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์และอะโวคาโดมาใช้ดู อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการดูแลเส้นผมตามที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ก็ควรจะต้องรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กันไปด้วย เพราะผมคือส่วนหนึ่งของร่างกายที่แสดงผลของสุขภาพโดยรวมออกมาให้เห็นได้ชัดเจน ดังนั้น หากอยากมีผมสวยดูดี ก็ต้องดูแลสุขภาพโดยรวม ทั้งร่างกายและจิตใจให้ดีด้วย

03 กันยายน 2551

ส้มสายน้ำผึ้ง


ทิศทางเกษตร : เตรียมข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจปลูกส้มโชกุน-ส้มสายน้ำผึ้ง


เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวของทุกปี ไม้ผลในกลุ่มของส้มเขียวหวาน จะทยอยกันสู่ตลาด ปัจจุบันแหล่งผลิตส้มที่ใหญ่ที่สุด ได้เปลี่ยนจากบริเวณทุ่งหลวงรังสิต ไปอยู่ที่เขตพื้นที่ภาคเหนือ คือ จ.กำแพงเพชร และ อ.ฝาง, อ.ไชยปราการ และ อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ รวมพื้นที่ปลูกเพียง 2 จังหวัดนี้มีพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 200,000 ไร่ มีการคาดการณ์กันว่า ในฤดูการผลิตส้มในปีนี้ ปัญหาเรื่องราคาส้มเขียวหวานตกต่ำ เริ่ม เห็นชัดเจนขึ้น นอกจากเหตุผลที่ว่ามีการขยายพื้นที่ปลูกส้มกันมากขึ้นแล้ว จากที่เคยมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 80-100 บาท จะลดลงมาเหลือเพียง 20-30 บาท


ดังนั้นในขณะนี้ไม่แนะนำให้เกษตรกรขยายพื้นที่ปลูกส้มเขียวหวาน โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย เนื่องจากเสี่ยงต่อการขาดทุนสูงมาก ถ้าจะปลูกพืชตระกูลส้มแนะนำให้ปลูกส้มโอพันธุ์ทองดีและขาวน้ำผึ้ง แต่ถ้าคิดจะปลูกส้มโชกุน-ส้มสายน้ำผึ้ง จะต้องเตรียมข้อมูลให้ดีเสียก่อน เนื่องจากมีการบำรุงรักษาที่ยุ่งยากกว่า


ส้มโชกุนและส้มสายน้ำผึ้งเป็นส้มสายพันธุ์เดียวกัน แตกต่างกันตามพื้นที่ปลูกเท่านั้น แต่คนไทยส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเป็นส้มคนละสายพันธุ์กัน ส้มสายน้ำผึ้งจะต้องมีผิวสีเหลืองทองเมื่อผลแก่ และจะต้องปลูกในเขต อ.ฝาง และใกล้เคียงของ จ.เชียงใหม่ เท่านั้น สำหรับส้มโชกุนจะต้องปลูกในพื้นที่ภาคใต้เท่านั้นและเมื่อผลส้มแก่ผิวจะมีสีเขียว แม่ค้าที่ซื้อส้มมาขายจะแยกขายระหว่างส้มทั้งสองชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อตามความพอใจ


ในแหล่งพื้นที่ที่มีแหล่งน้ำอุดมสมบูรณ์ผลผลิตส้มโชกุนจะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยและอร่อยมาก จึงไม่น่าสงสัยเลยว่า ณ วันนี้ในช่วงเทศกาล สารทจีนที่ผ่านมาส้มโชกุนจากภาคใต้จากหลายสวนยังมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 60-80 บาท


เกษตรกรที่จะปลูกให้ประสบความสำเร็จ จะต้องมีการจัดการสวนและดูแลรักษาที่ดีอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากการเตรียมพื้นที่ปลูกที่จะต้องเน้นในเรื่องแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์และสภาพแปลงปลูกจะต้องมีการระบายน้ำที่ดี ถึงแม้จะมีการปลูกในสภาพที่ดอนก็ตามจะต้องยกร่องปลูกแบบลูกฟูก ปัญหาสำหรับผู้ปลูกส้มโชกุนที่จะต้องพบอย่างแน่นอนก็คือ ปัญหาเรื่องผลแตกในขณะที่ผลส้มมีอายุระหว่าง 4-5 เดือน หรือแม้แต่ปัญหาเรื่องโรคดาวกระจายที่เป็นปัญหาใหม่และยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่าเกิดจากการทำลายของแมลงหรือเกิดจากน้ำฝนที่ตกในช่วงเวลาบ่ายทำให้เกิดอาการ “Water burn”


ถ้าเกษตรกรปลูกส้มโชกุน สามารถจัดการในเรื่องปัญหาเหล่านี้ได้และผลิตส้มที่มีคุณภาพดีแล้วไม่ต้องห่วงในเรื่องของการตลาดมากนัก เนื่องจากเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าส้มโชกุน-ส้มสายน้ำผึ้งของไทยเป็นส้มเปลือก ร่อนที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในโลก หนังสือ “ส้มสายน้ำผึ้ง-ส้มโชกุน” พิมพ์ 4 สี จำนวน 100 หน้า แจกฟรี, ผู้สนใจเขียนจดหมายสอดแสตมป์ 80 บาท ส่งมาขอได้ที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร เลขที่ 2/200 ถนนศรีมาลา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร 66000 โทร. 0-5661-3021.

28 สิงหาคม 2551

แตงโม


พันธุ์แตงโม

ที่นิยมปลูกมี 2 พันธุ์ คือ
พันธุ์เบา ที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ พันธุ์ชูการ์เบบี้ ผลกลมสีเขียวคล้ำ อายุเก็บเกี่ยว 65 วัน นับจากวันงอก อีกพันธุ์หนึ่ง ได้แก่
พันธุ์หนัก คือ พันธุ์ชาร์ลสตันเกรย์ ผลสีเขียวอ่อน มีลายที่ผิวผล ผลกลมยาวขนาดใหญ่ อายุเก็บเกี่ยว 85 วัน นับจากวันงอก
พันธุ์แตงโมเหลือง เป็นพันธุ์ลูกผสม เนื้อสีเหลือง ผลกลมสีเขียวอ่อนลายเขียวเข้ม อายุเก็บเกี่ยวประมาณ 70-75 วัน

ดินและการเตรียมดิน

แตงโมเป็นพืชที่หยั่งรากลึกมากกว่า 120 เซนติเมตร และต้องการดินที่อุดมสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นมากพอ ฉะนั้นถ้ามีการไถพรวนหรือขุดย่อยดินให้มีหน้าดินร่วนโปร่ง และลึกก็จะช่วยป้องกันการขาดน้ำได้เป็นอย่างดีในระยะที่ต้นแตงโมกำลังเจริญเติบโต การเตรียมดินให้หน้าดินลึกร่วนโปร่งจะช่วยทำให้ดินนั้นยึดและอุ้มความชื้นได้มากขึ้น และเป็นทางเปิดให้รากแตงโมแทรกตัวเองลึกลงไปใต้ดินซึ่งจะช่วยให้รากหาอาหารและน้ำได้กว้างไกลยิ่งขึ้นและเป็นการช่วยทำให้พืชสามารถใใช้น้ำใต้ดินมาเป็นประโยชน์ได้อย่างดีอีกด้วย ถ้าจำเป็นต้องปลูกแตงโมในหน้าฝน ควรเลือกปลูกในดินที่มีการระบายน้ำดี คือ เป็นดินเบา หรือดินทราย แต่ถ้ามีที่ปลูกเป็นดินหนักหรือค่อนข้างหนักควรปลูกแงโมในหน้าแล้ง และขุดดิน หรือไถดินให้ลึกมากที่สุดจะเหมาะกว่า

การปลูกแตงโม

ใช้เมล็ดพันธุ์ชูการ์เบบี้ อัตรา 40-50 กรัม/ไร่ เมล็ดพันธุ์ชาร์ลสตันเกรย์ และพันธุ์เหลือง อัตรา 250-500 กรัม/ไร่ โดยหยอดเป็นหลุมให้แต่ละหลุมในแถวห่างกัน 90 เซนติเมตร ส่วนแถวของแตงนั้นควรให้ห่างจากกันเท่ากับความยาวของเถาแตงโม หรือประมาณ 2-3 เมตร ในดินทรายขุดหลุมให้มีความกว้างยาวประมาณ 50 เซนติเมตร ลึกประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนในดินเหนียวขุดหลุมให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอกที่ละเอียดคลุกเคล้ากับดินบน ใส่รองก้นหลุม ๆ ละ 4-5 ลิตร เตรียมหลุมทิ้งไว้ 1 วัน แล้วจึงลงมือปลูก หยอดหลุมละ 5 เมล็ด

21 สิงหาคม 2551

การปลูกฝรั่ง



ชื่อวิทยาศาสตร์ Psidium guajava Linn.
วงศ์ Myrtaceaeชื่อท้องถิ่น มะมั่น มะก้วยกา (ภาคเหนือ) บักสีดา(ภาคอีสาน) ย่าหมู ยามู (ภาคใต้) มะปุ่น (ตาก สุโขทัย) มะแกว (แพร่)

ลักษณะของพืช »
ฝรั่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก กิ่งอ่อนจะเป็นสี่เหลี่ยม ยอดอ่อนมีขนสั้นๆ ใบเดี่ยวออกตรงกันข้าม สีเขียว รูปใบรี ปลายใบมน หรือมีกิ่งแหลม โคนใบมน ออกดอกเป็นช่อ ช่อละ 2-3 ดอก ดอกย่อยมีสีขาว มีเกสรตัวผู้มากเป็นฝอย ผลดิบมีสีเขียวใบไม้ เมื่อสุกจะเป็นสีเขียวอ่อนปนเหลือง เนื้อในเป็นสีขาวมีกลิ่นเฉพาะมีเมล็ดมาก

การปลูก »
นิยมขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ฝรั่งชอบดินร่วนปนทรายอุดมด้วยธาตุอาหารไม่ชอบมีน้ำขังแฉะ ไม่ชอบอากาศเย็นจัด ควรปลูกในฤดูฝนวิธีปลูกโดยการขุดหลุม ใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมเอาไว้ เอากิ่งตอนลงปลูกรดน้ำ ดูแลวัชพืช ให้ดีด้วย

ส่วนที่ใช้เป็นยา »
ใบแก่สดหรือผลอ่อน

ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา »
เก็บใบในช่วงที่แก่เต็มที่หรือผลที่ยังอ่อน

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ »
ใบฝรั่งมีน้ำมันหอมระเหย Eugenol, Tannin รวม 8-10 % และอื่นๆ ส่วนผลดิบอยู่ก็มี "แทนนิน" วิตามิน ซี แคลเซียม ออกซาเลท และอื่นๆ สารแทนนินที่มีอยู่ทำให้ใบและผลดิบของฝรั่งมีฤทธิ์ฝาดสมานใช้รักษาอาการท้องเสียและสารสกัดด้วยน้ำจากใบ ออกฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดหนอนอีกด้วย

วิธีใช้ »
ผลอ่อนและใบแก่ของฝรั่งแก้ท้องเสียได้เป็นอย่างดี แก้อาการท้องเดิน ซึ่งเป็นยาแก้ท้องเดินแบบไม่รุนแรง ที่ไม่ใช่เกิดจากเชื่อบิดหรืออหิวาตกโรคโดยใช้ใบแก่ 10-15 ใบ ปิ้งไผแล้วชงน้ำร้อนดื่ม หรือให้ใช้ผลอ่อนๆ 1 ผล ฝนกับน้ำปนใสดื่มเมื่อมีอาการท้องเสีย

คุณค่าทางอาหาร »
ผลฝรั่งที่สุกหรือแก่จัดเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากฝรั่งมีหลายพันธุ์ที่เดียวแต่ละพันธุ์ก็มีลักษณะแตกต่างกันออกไป เนื้อของฝรั่งมี วิตามิน ซี สูงช่วยบรรเทาและแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน หรือโรคลักปิดลักเปิดได้ดี นอกจากนี้ยังมีวิตามิน เอ มีเหล็ก แคลเซียมและเกลือแร่อื่นๆอีก ฝรั่งมีฤทธิ์ดับกลิ่นปากได้ดีเยี่ยมตามที่เราท่านทราบกันดีอยู่แล้วเช่น เคี้ยวใบฝรั่งสักใบเดียวในปากก็ดับกลิ่นปากได้อย่างวิเศษมากว่ากันว่าเอาลูกฝรั่งสุกๆวางๆว้ในโลงศพยังสามารถดับกลิ่นเหม็นเน่าของศพได้ดีมาก นี่แหละความดีของฝรั่ง

13 สิงหาคม 2551

สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร


ใครที่ชอบรับประทานสับปะรด ทราบหรือไม่ว่า สับปะรดนั้นมีประโยชน์อย่างไร วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

สับปะรด เป็นพืชที่รสชาติดี
ใช้กินเป็นผลไม้ หรือปรุงเป็นอาหาร ส่วนมากนิยมนำไปแปรรูปทำเป็นสับปะรดกระป๋อง และสับปะรดกวน ส่วนใบมีเส้นใยยาวเหนียว สามารถนำไปทำเป็นเชือก หรือ ทำเป็นกระดาษ สับปะรดมีรสหวานฝาดเล็กน้อย
สารอาหารที่อยู่ในสับปะรด
มีประโยชน์จำนวนมาก และมีคุณค่าทางยาสูง มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อ เสริมการดูดซึมอาหาร ดับร้อนแก้กระหาย สับปะรดยังมีสารจำพวก น้ำตาล กรด วิตามิน อยู่หลายชนิด
การรับประทานสับปะรดเป็นประจำ
จะช่วยป้องกันโรค ไตอักเสบ ความดันโลหิตสูง หลอดลมอักเสบ สับปะรดที่เริ่มนิ่ม มีน้ำเหนียว ๆ ไหลออกมา แสดงว่าสุกมากเกินไปและเริ่มเน่า ไม่ควรรับประทาน
การรับประทานที่ถูกวิธี
คือ ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียง เป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้ว ยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid และ เอ็มไซม์ บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ หลังรับประทาน

ทราบถึงประโยชน์ของสับปะรดกันแล้ว ก็อย่าลืมหันมารับประทานสับปะรดกันเยอะ ๆ.

31 กรกฎาคม 2551

การปลูกสตอเบอรี่

การปลูกสตรอเบอรี่

ลักษณะทั่วไป
เป็นไม้ผลขนาดเล็กให้ผลผลิตในหนึ่งฤดู ผลสุกมีรสเปรี้ยวหวาน กลิ่นหอม สีแดง เป็นที่นิยมของผู้บริโภค เป็นพืชอยู่ในวงศ์ Rosaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Fragaria ananassa เป็นไม้พุ่มที่สูงจากผิวดิน 6-8 นิ้ว ทรงพุ่มกว้าง 8-12 นิ้ว ระบบรากดีมาก แผ่กระจายประมาณ 12 นิ้ว ใบแยกเป็นใบย่อย 3 ใบ มีก้านใบยาว ขอบใบหยัก ลำต้นสั้นและหนา ดอกเป็นกลุ่ม มีกลีบรองดอกสีเขียว 5 กลีบ กลีบดอกสีขาว 5 กลีบ มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียกระจายอยู่เหนือฐานรองดอก ผลเจริญเติบจากฐานรองดอก มีผลขนาดเล็ดคล้ายเมล็ดจำนวนมากติดอยู่รอบเรียกว่า “เอคีน (Achene)”

พันธุ์สตรอเบอรี่
การปลูกสตรอเบอรี่ในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเหนือมีมานานพอสมควร แต่ สตรอเบอรี่ที่ปลูกพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่ำ ผลเล็ก สีซีด และช้ำง่ายในปัจจุบันมีพันธุ์ที่เหมาะสมและปลูกได้ผลดี ผลผลิตสูงผลใหญ่ เรียว เนื้อแน่น สีแดงจัด รสชาติดี ใบย่อย ใบกลางเรียวหยักปลายใบใหญ่ ต้นใหญ่ ให้ผลผลิตยาวนาน พันธุ์ดังกล่าวเรียกกันว่าพันธุ์ “ไทโอก้า”

ความต้องการสภาพดินฟ้าอากาศ
ดินที่ปลูกสตรอเบอรี่ควรเป็นดินร่วนปนทราย ความเป็นกรดเป็นด่างอยู่ในระหว่าง 5-7 ซึ่งเป็นดินที่สภาพเป็นกรดเล็กน้อยสตอเบอรี่ต้องการช่วงแสงต่ำกว่า 11 ชั่วโมง และอุณหภูมิหนาว-เย็น ในการติดดอกออกผล ถ้าอุณหภูมิยิ่งต่ำยิ่งทำการติดดอกออกผลดีขึ้น

การปลูกเพื่อต้องการผล
ควรปลูกในเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม โดยต้นอ่อนหรือไหลที่จะปลูกควรมีแขนไหลที่มีข้อติดด้วยการเตรียมแปลงปลูกทำนองเดียวกับแปลงปลูกผักคือ การปลูกต้องใช้ส่วนโคนของลำต้น
การติดดอกออกผล
เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลง และช่วงแสงสั้นเข้าซึ่งประมาณเดือนพฤศจิกายน สตรอเบอรี่จะเริ่มติดดอกและผลจะสุกหลังจากติดดอก 21-25 วัน ผลสตรอเบอรี่ระยะแรกจะมีสีเขียว และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาว เมื่อผลแก่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม มีรสเปรี้ยวปนหวาน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.5-3.5 ซม.ผลจะสุกมากที่สุดเดือนมีนาคม และจะหมดประมาณเดือนเมษายน - พฤษภาคม
การเก็บเกี่ยว
เนื่องจากผลสตรอเบอรี่ช้ำง่าย การเก็บเกี่ยวต้องคำนึงถึงระยะทางในการขนส่งสู่ตลาดถ้าระยะทางไกลต้องเก็บผลสุกหรือเห็นสีแดง 50% ซึ่งจะได้ผลแข็งสะดวกแก่การขนส่ง ถ้าระยะทางใกล้ควรเก็บผลสุกหรือสีแดง 75% เวลาที่เก็บ ควรเก็บตอนเช้า เมื่อเก็บแล้วไม่ควรให้ผลถูกแสงแดด ซึ่งจะทำให้ผลเน่าเร็วควรเก็บทุก 1-2 วัน
การบรรจุและขนส่ง
เนื่องจากผลสตรอเบอรี่บอบช้ำง่าย โดยเฉพาะถ้าเส้นทางคมนาคมไกลและไม่ดีเท่าที่ควร การบรรจุผลสตอเบอรี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญ ภาชะนะที่บรรจุจะต้องไม่มีส่วนที่แหลมคมซึ่งจะทำให้ผลเสียหาย การวางผลจะต้องวางไม่เกินสองชั้น ถ้าพบว่ามีผลเสียควรคัดออกทันทีเพื่อป้องกันผลข้างเคียงพลอยเน่าเสียหายไปด้วยในกรณีเส้นทางคมนาคมลำบากไม่สามารถขายผลสดจำเป็นต้องขายผลช้ำ ต้องตัดหัวขั้วและส่วนที่เน่า แล้วบรรจุในปี๊บที่ภายในรองด้วยถุงพลาสติก ถ้าระยะทางไกลจากตลาดมากหรือจำเป็นต้องเก็บผลสตรอเบอรี่ไว้ค้างคืนการใส่น้ำตาลเพื่อรักษาคุณภาพของผล โดยใช้น้ำตาล 4 กก. ต่อผลสตรอเบอรี่ 10 กก.
การปฏิบัติหลังจากสตรอเบอรี่ให้ผลแล้ว
เมื่อถึงเดือนเมษายนต้นสตรอเบอรี่เริ่มหยุดให้ผล เนื่องจากอุณหภูมิเริ่มสูงขึ้นช่วงแสงเริ่มยาวขึ้น ต้นสตรอเบอรี่จะเริ่มเจริญเติบโตด้านลำต้น กสิกรในพื้นราบมักจะขุดต้นสตรอเบอรี่ทิ้งด้วยสาเหตุดังต่อไปนี้.-
1. การดูแลรักษาต้นสตรอเบอรี่ข้ามปี ในสภาพที่อุณหภูมิสูงทำได้ยาก และเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสูง เนื่องจากต้นสตรอเบอรี่ไม่ทนต่อสภาพอากาศที่ร้อน และสภาพอากาศที่อุณหภูมิสูงโรคของสตรอเบอรี่ระบาดง่าย
2. เพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินหลังจากปลูกสตรอเบอรี่หยุดให้ผล เช่น ปลูกผักหรือพืชไร่ซึ่งได้ผลตอบแทนสูงกว่า 3. การที่ทำลายต้นสตรอเบอรี่ เป็นการทำลายแหล่งเพาะเชื้อโรคของสตรอเบอรี่ได้ผลดี